วันเสาร์ที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2554

โรคกรดไหลย้อน

โรคกรดไหลย้อน ไม่ได้เป็นโรคแปลกใหม่สำหรับคนไทย เป็นโรคที่พบมานานแล้ว เป็นภาวะที่น้ำย่อยในกระเพาะอาหารไหลย้อนกลับขึ้นไปในหลอดอาหารอย่างผิดปกติ เกิดได้จากหลายสาเหตุ อาทิ หลอดอาหารส่วนปลายมีการคลายตัวอย่างผิดปกติ ความดันของหูรูดส่วนปลายหลอดอาหารต่ำกว่าปกติ หรือเกิดจากความผิดปกติของการบีบตัวของกระเพาะอาหารหรือหลอดอาหาร รวมถึงพันธุกรรมอีกด้วย

สาเหตุสำคัญที่ทำให้คนเป็นโรคนี้ เกิดจากพฤติกรรมการบริโภคที่หันไปใช้ชีวิตแบบชาวตะวันตก ตื่นเช้ามาก็เร่งรีบไปทำงาน ไม่ค่อยกินข้าว กินแต่กาแฟ แถมยังชอบกินอาหารเย็นหนักๆ แล้วก็นอน อาหารจึงยังตกค้างอยู่ในกระเพาะ ร่างกายต้องหลั่งกรดออกมาย่อยอาหารที่ยังตกค้างอยู่ ประกอบกับท่านอนไม่ถูกต้อง หัวเสมอหรือต่ำกว่าลำตัว ทำให้กรดในกระเพาะไหลย้อนขึ้นมาที่ลำคอ เกิดอาการแสบระคายเคืองขึ้นมาบนคอ

ลักษณะของโรค มักเรื้อรังหรือเป็นหายๆ และถ้าปล่อยให้หลอดอาหารส่วนปลายระคายเคืองไปนานๆ ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของเซลล์เยื่อบุหลอดอาหาร ซึ่งนำไปสู่มะเร็งหลอดอาหารได้ในที่สุด

อาการของโรคกรดไหลย้อน ได้แก่
  • อาการแสบยอดอก (Heartburn) ขย้อน หรือสำรอก (Regurgitation) 
  • รู้สึกเปรี้ยว (กรด) หรือขม (ด่าง) ในปาก หรือบริเวณช่องคอด้านหลัง 
  • เรอ จุก เสียด แน่นในคอ หรือหน้าอก 

นอกจากนี้ อาจมีอาการอันเนื่องจากกรดระคายบริเวณกล่องเสียงและหลอดลม เช่น เสียงแหบ ไอหรือกระแอมบ่อยๆ เจ็บคอเรื้อรัง ปอดอักเสบ ฟันผุ มีกลิ่นปาก เป็นต้น

ในแง่การวินิจฉัยโรคนั้น แพทย์สามารถวินิจฉัยจากอาการที่ชัดเจนและให้การรักษาเบื้องต้นและติดตามดูอาการ ส่วนผู้ป่วยที่ไม่มีอาการสำคัญชัดเจนหรือมีอาการร่วมอื่น หรือได้รับการรักษาเบื้องต้นแล้วไม่ดีขึ้น อาจจำเป็นต้องได้รับการวินิจฉัยเพิ่มเติม เช่น การส่องกล้องทางเดินอาหาร การตรวจทางรังสีวิทยา การตรวจวัดการบีบตัวของหลอดอาหาร และการตรวจวัดการเป็นกรด-ด่างในหลอดอาหาร ซึ่งพบว่า ได้ผลแม่นยำและดีที่สุดในปัจจุบัน

การรักษาโรคกรดไหลย้อน
ควรมุ่งที่การควบคุมอาการให้เหลือน้อยที่สุด ซึ่งหลักใหญ่อาศัยการปรับเปลี่ยนอาหารการกิน และวิถีชีวิตของผู้ป่วย ประสานกับการกินยาเท่าที่จำเป็น

การปรับเปลี่ยนอาหารนั้นเน้น 2 เรื่องใหญ่ คือ

1.หลีกเลี่ยงอาหารที่ทำให้กล้ามเนื้อหูรูดผ่อนคลายไม่กระชับ เช่น ดื่มแอลกอฮอล์ ช็อกโกแลต เปปเปอร์มินต์ เครื่องดื่มที่มีกาเฟอีน น้ำมัน ของทอดและอาหารที่มีไขมันสูงทั้งหลาย อาหารที่ผสมครีม อาหารขยะ เป็นต้น สำหรับผู้ที่น้ำหนักเกิน จำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องควบคุมน้ำหนัก

2.หลีกเลี่ยงอาหารที่เพิ่มกรดในกระเพาะอาหาร เช่น ชา กาแฟ กระเทียม หัวหอม พริก และอาหารเผ็ดร้อน หน่อไม้ฝรั่ง ไข่ พาสต้า ก๋วยเตี๋ยว แป้ง ข้าวโพด ลูกพรุน ส้ม น้ำมะเขือเทศ น้ำอัดลม และน้ำตาล เป็นต้น

การปรับเปลี่ยนวิถีชีวิต
  • อย่ากินอิ่มเกิน กินน้อยแต่หลายมื้อได้ 
  • อย่ากินอย่างเร่งรีบ เคี้ยวอาหารให้ละเอียด 
  • อย่าดื่มน้ำมากพร้อมอาหาร 
  • กินอาหารแล้วห้ามออกกำลังกาย หรือนอนทันที ควรทิ้งช่วงประมาณ 2-3 ชั่วโมง 
  • อย่าก้ม (โดยเฉพาะช่วงหลังอาหาร) 
  • อย่าใส่เข็มขัด หรือเสื้อผ้ารัดแน่นเกินไป 
  • ระหว่างนอน ควรยกหัวเตียงให้ลาดสูงขึ้นประมาณ 6-8 นิ้ว 
  • ต้องจัดการกับความเครียด ผ่อนคลายให้มากขึ้น เพราะความเครียดเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้มีกรดมาก
สมุนไพรบรรเทาอาการกรดไหลย้อน
  • ขมิ้นชัน ช่วยย่อยอาหาร สมานแผลในกระเพาะอาหาร ทำความสะอาดลำไส้
  • กระเจี๊ยบเขียว รักษาโรคกระเพาะ เยื่อบุกระเพาะและลำไส้อักเสบ บรรเทาอาการท้องผูก ช่วยกำจัดสารพิษออกจากลำไส้
  • มะละกอ ช่วยย่อยอาหาร ช่วยในเรื่องขับถ่าย
  • มะขามป้อม ช่วยขับพยาธิ ธาตุพิการ อาหารไม่ย่อย แก้ท้องผูก
  • กระชาย บรรเทาอาการจุกเสียด แก้โรคกระเพาะอาหาร

ที่มา : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น