"เบต้าแคโรทีน" (Beta-carotene) เป็นสารตั้งต้นของวิตามินเอ (โปรวิตามินเอ) มีบทบาทสำคัญในการรักษาสุขภาพและเพิ่มระบบภูมิคุ้มกันร่างกายให้แข็งแรง ทั้งนี้ โดยปกติร่างกายของมนุษย์เราสามารถเปลี่ยนเบต้าแคโรทีนไปเป็นวิตามินเอได้ตามปริมาณที่ร่างกายต้องการ นอกจากนี้ยังทำหน้าที่เสมือนเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ(Anti-Oxidant) ด้วย
เมื่อร่างกายได้รับเบต้าแคโรทีนเข้าไปก็จะเปลี่ยนเป็นวิตามินเอ ที่เยื่อบุผนังลำไส้ โดยเบต้าแคโรทีน 6 ไมโครกรัม จะได้วิตามินเอ 1 ไมโครกรัม
เบต้าแคโรทีนมีในพืชสีเหลืองและสีส้ม ทั้งแครอท ฟักทอง หน่อไม้ฝรั่ง ข้าวโพดอ่อน แตงโม แคนตาลูป มะละกอสุก และผักที่มีสีเขียวอย่างบร็อกโคลี่ มะระ ผักบุ้ง ผักคะน้า ผักตำลึง ต้นหอม โหระพา สะระแหน่ ผักชีฝรั่ง ผักชี เป็นต้น (เหตุที่มีสีเขียวเพราะสีของเบต้าแคโรทีนถูกสีเขียวของคลอโรฟิลล์บดบังไว้)
ประโยชน์ที่เบต้าแคโรทีนให้แก่ร่างกาย
- ดูแลรักษาผิวพรรณให้ผ่องใส ไม่เหี่ยวย่น
- ลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็ง อนุมูลอิสระมีผลเกี่ยวข้องกับมะเร็งโดยตรง การลดปริมาณอนุมูลอิสระ คือ เพิ่มสารต้านอนุมูลอิสระให้แก่ร่างกายเท่ากับลดความเสี่ยงของการเกิดโรคมะเร็ง
- บำรุงสุขภาพสายตา เบต้าแคโรทีนเมื่อถูกเปลี่ยนเป็นวิตามินเอแล้ว ร่างกายจะนำไปใช้สร้างสารโรดอฟซินในดวงตาส่วนเรตินา ทำให้ตามีความสามารถในการมองเห็นในตอนกลางคืนได้ และยังลดความเสื่อมของเซลล์ของลูกตา ลดความเสี่ยงต่อการเป็นต้อกระจกด้วย
- ชะลอความแก่ เบต้าแคโรทีนให้ผลในการลดความเสื่อมของเซลล์จากอนุมุลอิสระ ซึ่งเป็นปัจจัยหลักที่ทำให้เกิดกระบวนการแก่
การได้รับสารเบต้าแคโรทีนมากเกินไป มีผลเสียต่อร่างกายหรือไม่ ?
เนื่องจาก สารเบต้าแคโรทีน คือ สารต้านอนุมูลอิสระ (Anti-Oxidant) ที่เมื่อร่างกายได้รับมากกว่าความต้องการ จะหันไปทำหน้าที่ในทางตรงกับข้าม โดยกลายตัวเป็น “Pro-Oxidant” ซึ่งเป็นสารที่ส่งเสริม “การเกิด” อนุมูลอิสระ ซึ่งเป็นต้นเหตุของการเกิดมะเร็ง
หากเรารับสารต้านอนุมูลอิสระจากการกินอาหารโดยปกติ โอกาสที่จะได้รับสารนี้มากเกินความต้องการของร่ายกาย จะน้อยกว่าการกิน “อาหารเสริมเบต้าแคโรทีน” โดยตรง เพราะอาหารเสริมจะมีสารนี้สูงมาก เนื่องจากอยู่ในรูปของสารเข้มข้น ดังนั้น ถ้าเราไม่ต้องการได้รับสารต้านอนุมูลอิสระมากเกินไป การกินอาหารปกติที่มีสารต้านอนุมูลอิสระเป็นวิธีที่ดีที่สุด
ข้อควรระวัง
การบริโภคเบต้าแคโรทีนในรูปแบบของอาหารเสริมที่มากเกินไป อาจเป็นการเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดโรคมะเร็ง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น