แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ สารต้านอนุมูลอิสระ เบต้าแคโรทีน อาหารต้านโรคมะเร็ง บำรุงหัวใจ แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ สารต้านอนุมูลอิสระ เบต้าแคโรทีน อาหารต้านโรคมะเร็ง บำรุงหัวใจ แสดงบทความทั้งหมด

วันอังคารที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2553

สารต้านอนุมูลอิสระ

ก่อนอื่นขออธิบายคำว่า กระบวนการออกซิเดชัน  (Oxidation) หรือการเกิดปฏิกิริยาออกซิไดส์ (Oxidise ) กันก่อนนะคะ เพื่อให้เกิดความเข้าใจมากขึ้น ออกแนววิชาการไปนิดหนึ่ง แต่ก็เข้าใจได้ง่ายค่ะ

ออกซิเดชัน  (Oxidation)

ออกซิไดส์  (Oxidize) หรือ  ออกซิเดชัน  (Oxidation)  หมายถึง  ปฎิกิริยาจากออกซิเจน  ถ้าจะเปรียบเทียบให้เข้าใจง่ายๆ  ก็ทำนองเดียวกับการเกิดสนิมเหล็กที่ตัวถังรถยนต์นั่นเอง  การเกิดสนิมเป็นปฏิกิริยาออกซิไดส์ที่เหล็กสัมผัสกับออกซิเจนและความชื้นในอากาศ  และกลายเป็นสนิม  และในที่สุดรถก็จะผุพังไป  

กระบวนการออกซิเดชั่นเกิดขึ้นในร่างกายอยู่ตลอดเวลา จากการย่อยสลายโปรตีนและไขมันจากอาหารที่กินเข้าไปเพื่อเปลี่ยนแปลงเป็นพลังงานสำหรับการทำงานของอวัยวะต่างๆ ในร่างกาย หรือเกิดจากมลพิษทางอากาศ การหายใจ ควันบุหรี่ ไอเสียรถยนต์ สารพิษจากยาฆ่าแมลง รังสียูวี แม้กระทั่งสเปรย์ระงับกลิ่นตัว

ผลพลอยได้จากกระบวนการออกซิเดชั่น (Oxidation) คือ อนุมูลอิสระ

วันพุธที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2553

ผักชี


ผักชีเป็นพืชผักสวนครัว ซึ่งเราสามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้ทุกส่วน ตั้งแต่ส่วนของ ใบ ก้าน ราก โดยนิยมนำมาบริโภคเป็นผักสด ใช้ตกแต่งจานอาหารให้น่ารับประทาน และใช้เป็นส่วนประกอบอาหารได้หลายชนิด และยังช่วยทำให้อาหารมีกลิ่นหอม และรสชาติดีอีกด้วย

สรรพคุณ 
  • ช่วยรักษาอาการปวดท้อง และช่วยย่อยอาหาร
  • ใบสด ประกอบด้วย โปรตีน เส้นใย ฟอสฟอรัส เบต้าเคโรทีน
  • ผล หรือลูกผักชี มีน้ำมันหอมระเหย ใช้แต่งกลิ่นเหล้ายิน

สรรพคุณทางยา

ต้นและใบ
  • ผักชีใชัในการช่วยย่อยอาหาร บำรุงกระเพาะ เจริญอาหาร ขับลม ขับพิษ ขับเหงื่อ  ลดน้ำตาลในเลือด แก้โรคหัด แก้ตับอักเสบ
  • พอกทาแก้ผื่นคัน แก้ไฟลามทุ่ง 
  • ลดการปวดบวมข้อ
  • ต้มดื่มแก้ไอ แก้หวัด แก้สะอึก
  • แก้อาหารเป็นพิษ  กระตุ้นการทำงานของเลือดพลาสมา และกล้ามเนื้อ
  • มีเบต้าแคโรทีน ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ป้องกันการเกิดโรคมะเร็ง
  • ต้านแบคทีเรีย เชื้อรา และไข่ของแมลง จึงใช้ถนอมอาหาร

วันเสาร์ที่ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2553

ผักชีฝรั่ง



ใบอ่อนและใบของผักชีฝรั่งรับประทานเป็นผักสด โดยเป็นผักแกล้มกับน้ำพริก ลาบ ยำ ก้อย หรือซอยใส่ในอาหารประเภทยำ ต้มยำ  เพื่อปรุงรสและดับกลิ่นคาวได้ ในทางการแพทย์สามารถใช้เป็นยาขับปัสสาวะได้ ใบสด เคี้ยวเพื่อดับกลิ่นปาก

สรรพคุณ
  • ใบหรือทั้งต้น นำมาทาหรือพอกแก้อาการอักเสบของพิษงู แมงป่อง ตะขาบ และแมลงมีพิษกัดต่อย
  • น้ำมันหอมระเหยที่กลั่นจากกิ่งและใบ ช่วยบำรุงหัวใจ แก้เป็นลม หน้ามืด ตาลาย

สรรพคุณทางยา

ใบและใบอ่อน 
  • ใช้เป็นยาแก้ท้องอืด
  • ใช้ดับกลิ่นปากได้ดี เพราะมีน้ำมันหอมระเหย
  • มีสารต้านมะเร็ง ทำให้สารก่อมะเร็งในยาสูบไม่ออกฤทธิ์

ลำต้น
  • นำลำต้นของผักชีฝรั่งมาตำผสมกับน้ำมันงา แล้วหมกไฟให้สุก นำมาประคบแก้ปวดเมื่อยได้ดี
  • นำลำต้นผักชีฝรั่งมาต้มกับน้ำใช้ดื่มแก้ไข้มาลาเรีย หรือใช้เป็นยาถ่าย
  • นำลำต้นผักชีฝรั่งมาตำแล้วใช้พอกแก้พิษงู ฆ่าเชื้อโรค
  • นอกจากนี้ลำต้นผักชีฝรั่งยังใช้ขับปัสสาวะ
  • ช่วยทำให้เล็บ ผม และผิวหนังแข็งแรง
  • ช่วยให้ต่อมไทรอยด์ทำงานปกติ
  • ใช้ลดความดันโลหิตได้
ในแม่ที่กำลังให้นมลูก ควรให้รับประทานผักชีฝรั่ง เพื่อให้สามารถทดแทนธาตุเหล็กที่เสียไปได้ โดยใช้ทำเป็นน้ำชาดื่ม ควรดื่มวันละ 2-3 ถ้วย จะช่วยรักษาสมดุลของอารมณ์ได้เป็นอย่างดี

เมล็ด
  • เมล็ดผักชีฝรั่ง นำมาใช้ทำ Gripe water สำหรับขับลมในกระเพาะได้ดี

ข้อควรระวัง สำหรับสุภาพสตรีไม่ควรใช้ในขณะตั้งครรภ์


ชื่อสามัญ : ผักชีฝรั่ง

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Eryngium foetidum L.

ชื่อวงศ์ : Umbelliferae

ชื่ออังกฤษ :  Parsley, Sawtooth corianser, Spiny coriander, long coriander, Culantro

ชื่ออื่นๆ : ผักชีลาว, ผักหอมเทศ, ผักชีดอย, หอมป้อมกุลา(ภาคเหนือ), ผักชีใบเลื่อย, ผักหอมเป (ภาคอีสาน), หอมน้อยฮ้อ(อุตรดิตถ์), หอมป้อม, หอมป้อมเปอะ(กำแพงเพชร)

วันศุกร์ที่ 3 ธันวาคม พ.ศ. 2553

ต้นหอม


สรรพคุณ
  • มีเบต้าแคโรทีน แคลเซียม ฟอสฟอรัสในสัดส่วนที่เหมาะสม กับการดูดซึมของร่างกาย
  • มีสารเควิซิทีนที่เป็นเกราะกันมะเร็งให้กับคนเราได้
  • แก้หวัด คัดจมูก จากน้ำมันหอมระเหยในหัวหอม
  • ใช้ประกอบอาหาร แต่งกลิ่นอาหาร และใช้โรยหน้าอาหารให้สวยงาม เช่นเดียวกับผักชี

 สรรพคุณทางยา 
  • ต้นหอมส่วนใกล้ราก เรียกว่า หอมขาว ใช้เป็นยาได้ ส่วนนี้มีกลิ่นเผ็ดร้อน มีคุณลักษณะอุ่น มีสรรพคุณแก้ร้อนใน
  • ต้นหอมมีฤทธิ์ในการยับยั้งเชื้อโรคบิด เชื้อสแตปฟลิโลค๊อกคัส และเชื้อโรคผิวหนังได้
  • ต้นหอมช่วยในการขับเหงื่อและบำรุงหัวใจ
  • ถ้ากินต้นหอมสดๆ อย่างต่อเนื่องสามารถลดไขมันในเส้นเลือด ควบคุมความดันโลหิตสูง และป้องกันหลอดเลือดหัวใจอุดตัน
  • น้ำมันในหัวหอมเป็นยาขับเสมหะ บรรเทาอาการคัดจมูก
  • ใบสดตำแล้วพอกตรงที่ถูกแมลง กัดต่อย แก้ปวดได้ชะงัด

วิธีใช้ 
  1. นำต้นหอม 5-6 ต้น ต้มกับขิง 2 แว่น กรองน้ำดื่ม ขับเหงื่อ ลดไข้
  2. อากาศหนาวเป็นหวัด คัดจมูก น้ำมูกไหล ให้นำหอมขาว 30 กรัม ต้มน้ำให้เดือด 10 นาที แล้วนำมากินโดยแบ่งเป็น 2 ครั้ง แล้วกินโจ๊กร้อนตาม 1 ชาม นอนห่มผ้าห่ม ให้เหงื่ออก อาการจะทุเลา
  3. ใช้หอมขาว ขิงสด และน้ำตาลแดงต้มพร้อมกัน ทำเป็นยาน้ำกิน ได้ผลดียิ่ง
  4. ผู้ที่ไอเพราะโดนความเย็น ให้นำหอมขาว 15 กรัม สาลี่ 1 ผล น้ำตาล 30 กรัม ต้มดื่ม พร้อมกับกินหอมขาว และสาลี่
  5. ผู้ที่เป็นโรคอาหารไม่ย่อย ใช้หอมขาว 10 กรัมต้มน้ำแล้วดื่ม มีสรรพคุณในการช่วยให้กระเพาะอาหารแข็งแรงขึ้น
  6. ใช้แก้หวัด คัดจมูก น้ำมูกไหล โดยการใช้ใบหรือหัวหอมทุบพอแตกใส่ในเหล้าขาว

ชื่อสามัญ : Green Shallot

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Alliumcepa var. aggregatum

ชื่อวงศ์ : Alliaceae

ชื่ออังกฤษ : Spring Onion หรือ Green Shallot

ชื่ออื่นๆ : หอมแบ่ง, ใบหอม (ภาคเหนือ)

สะระแหน่


สะระแหน่นั้นมีสรรพคุณมากมาย ใบและลำต้นสะระแหน่มีน้ำมันหอมระเหย ซึ่งประกอบด้วยสารเมนทอล (Menthol) ไลโมนีน (Limonene) นีโอเมนทอล (Neomenthol) เป็นต้น ใบสะระแหน่จึงมีคุณสมบัติในการแต่งกลิ่น แก้หวัด คัดจมูก น้ำมูกไหล แก้พิษแมลงสัตว์กัดต่อย

นอกจากนี้สะระแหน่ยังมีสารอาหารหลายอย่าง เช่น โปรตีน ไขมัน คาร์โบไฮเดรต แคลเซียม เหล็ก ฟอสฟอรัส วิตามินบี 1 2 วิตามินซี ปัจจุบันได้สกัดสารจากสะระแหน่ไปใช้ทำลูกอมสะระแหน่ไว้ใช้อม หรือที่เรียกว่า ลูกอมมินต์

สรรพคุณ
  • เป็นยาดับร้อน ถอนพิษไข้ ขับลม ขับเหงื่อ รักษาอาการหวัดได้
  • แก้อาการ ปวดท้อง ท้องอืด ท้องเฟ้อได้ โดยนำน้ำที่คั้นจากต้น และใบมาใช้ดื่ม ก็จะช่วยขับลมในกระเพาะอาหาร
  • ดับกลิ่นปากก็ยังได้ โดยการกินสดๆ
  • การบริโภคสะระแหน่ ยังช่วยให้สมองปลอดโปร่ง โล่งคอ นอนหลับสบาย
  • บำรุงสายตา เนื่องจากมีวิตามินเอสูง
  • บำรุงหัวใจ ต้านมะเร็ง เพราะสะระแหน่มีเบต้าแคโรทีนสูง

สรรพคุณทางยา
  • แก้อาการปวดศีรษะ ปวดฟัน เจ็บคอ เจ็บปาก เจ็บลิ้น ให้ดื่มน้ำต้มใบสะระแหน่ 5 กรัม กับน้ำ 1 ถ้วย ผสมเกลือเล็กน้อย วันละ 2 ครั้ง
  • แก้อาการบิดท้องร่วง อุจจาระเป็นเลือด ใช้ใบสะระแหน่ต้มกับน้ำดื่ม
  • แก้พิษ แมลงสัตว์กัดต่อย ทำได้โดยตำใบสะระแหน่ให้ละเอียด แล้วพอกบริเวณที่โดนกัด อย่าลืมว่าใบสะระแหน่ที่สดและอ่อน จะมีคุณค่ามากกว่าใบสะระแหน่แห้ง
  • ช่วยดับกลิ่นคาว ยอดสะระแหน่นั้นรับประทานเป็นผักสดก็ได้ หรือกินกับน้ำพริก ลาบ น้ำตก พล่า ยำ หรือแต่งกลิ่นหอม ๆ ใส่ต้มยำ ช่วยดับกลิ่นได้ดี
  • แก้อาการอาหารไม่ย่อย โดยใช้ใบสะระแหน่ต้มกับน้ำดื่ม
  • แก้หวัดน้ำมูกไหลจามไอบ่อย ๆ หรือจะเป็นไข้หวัด ใช้ใบสะระแหน่ต้มกับเต้าหู้ดื่ม
  • แก้อาการเกร็งกล้ามเนื้อ แก้ปวดบวมผื่นคัน ใช้ใบสะระแหน่ตำให้ละเอียดพอกหรือทา
  • ห้ามเลือดกำเดาได้ โดยใช้สำลีชุบน้ำที่คั้นจากใบสะระแหน่ หยอดที่รูจมูก
  • รักษาแผลในปาก ใช้ใบสะระแหน่ต้มใส่เกลือเล็กน้อยดื่ม
  • แก้อาการปวดหู โดยนำน้ำคั้นจากใบสะระแหน่หยอดหู จะช่วยบรรเทาอาการปวดได้ดี
  • แก้อาการหน้ามืดตาลาย โดยรับประทานน้ำต้มใบสะระแหน่และขิง

ชื่อสามัญ : สะระแหน่

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Metha cordifolia Opiz.

ชื่อวงศ์ : Labiatae

ชื่ออื่น : หอมด่วน หอมเดือน (ภาคเหนือ), มักเงาะ สะแน่ (ภาคใต้), สะระแหน่สวน (ภาคกลาง), ขะแยะ (อีสาน)

ชื่ออังกฤษ : Kitchen Mint, Marsh Mint


ที่มา : http://ramaclinic.ra.mahidol.ac.th/herb/herb0021.html

โหระพา


โหระพา เป็นผักสวนครัว พืชริมรั้ว อยู่คู่ครัวไทยมาแต่ครั้งโบราณกาล รู้ไหมว่าผักพื้นบ้านธรรมดาเรานี่แหละแต่ให้คุณประโยชน์มากมาย

สรรพคุณ

  • ใบโหระพาสด มีน้ำมันหอมระเหย เช่น methyl chavicol และ linalool ขับลมแก้ท้องอืดเฟ้อ
  • ใบโหระพา้มีีธาตุแคลเซียมสูง
  • น้ำมันหอมระเหยจากใบโหระพา สามารถแต่งกลิ่นเครืองสำอางบางชนิด
  • เมล็ดโหระพาเมื่อแช่น้ำจะพองเป็นเมือก เป็นยาระบาย เนื่องจากไปเพิ่มจำนวนกากอาหาร
  • ใบโหระพาเป็นแหล่งเบต้าแคโรทีน ซึ่งมีส่วนสำคัญในการป้องกันโรค เช่น โรคหัวใจขาดเลือดและมะเร็ง
  • ใบโหระพามีกลิ่นเฉพาะใช้รับประทานเป็นผักสด หรือใช้ปรุงแต่งกลิ่นอาหาร

น้ำมันโหระพา

น้ำมันโหระพา เป็นน้ำมันหอมระเหย มีกลิ่นเฉพาะตัว มีคุณสมบัติแก้จุกเสียดแน่นท้อง ช่วยคลายการหดเกร็งของกล้ามเนื้อและช่วยฆ่าเชื้อแบคทีเรีย จึงช่วยให้สบายท้องขึ้น มีกลิ่นหอมหวาน มีคุณสมบัติช่วยให้สงบ มีสมาธิ ลดอาการเครียด
ข้อควรระวังในการใช้คือ ทำให้เกิดอาการแพ้ง่าย สตรีมีครรภ์ควรหลีกเลี่ยง

 สรรพคุณทางยา

ใบ
  • ใบสดของโหระพานำมาต้มดื่มแก้ลมวิงเวียน ช่วยย่อยอาหาร มีสรรพคุณแก้ท้องอืด เฟ้อ ขับลมจากลำไส้
  • ใช้ตำพอกหรือประคบแก้ไขข้ออักเสบ แผลอักเสบ
  • ต้มใบและต้นสดเข้าด้วยกัน ต้มเอาน้ำดื่ม แก้หวัด ขับเหงื่อ
  • ถ้าเด็กปวดท้อง ใช้ใบโหระพา 20 ใบ ชงน้ำร้อนและนำมาชงนมให้เด็กดื่มแทนยาขับลมได้
  • ใบโหระพาแห้งต้มกับน้ำ มีสรรพคุณต้านเชื้อก่อโรค
เมล็ด
  • ใช้เมล็ดแห้ง นำมาต้มหรือแช่น้ำกิน เป็นยาระบาย

 ราก
  • ใช้รากสดหรือรากแห้ง นำมาเผาไฟให้เป็นเถ้า บดให้ละเอียดใช้พอก บริเวณที่เป็นแผลเรื้อรัง แผลมีหนอง

 ลำต้น
  • ใช้ลำต้นสด ประมาณ 6-10 กรัม นำมาต้มเอาน้ำ ใช้หยอดหูแก้ปวดหู
  • รักษาโรคเข่าเสื่อม โดยการนำโหระพาทั้งต้นไม่ต้องเด็ดรากทิ้ง กะพอประมาณใช้พอกเข่าได้มิด จากนั้นนำไปล้างให้สะอาด ตำพอละเอียดใส่เหล้าขาว 40 ดีกรีเล็กน้อยคนให้เข้ากัน ก่อนนำไปตั้งไฟแค่พอร้อน (ไม่ต้องถึงกับเดือด) ทิ้งไว้ให้อุ่น นำไปพอกเข่าประมาณ 10-15 นาที ทำวันละ 1-2 ครั้ง

ชื่อสามัญ : โหระพา

ชื่อวิทยาศาสตร์: Ocimum basilicum Linn.

ชื่อวงศ์ : Labiatae

ชื่ออื่น: กอมก้อ (ภาคเหนือและอีสาน), นางพญาร้อยชู้, โหระพาไทย, โหระพาเทศ, ห่อกวยซวย, ห่อวอซุ (กะเหรี่ยง-แม่ฮ่องสอน)

ชื่อภาษาอังกฤษ: Sweet Basil, Thai Basil

วันพฤหัสบดีที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2553

ข่า

ข่า เป็นพืชที่มีลำต้นอยู่ใต้ดินเรียกว่า "เหง้า" อยู่ในตระกูลขิง เป็นไม้ล้มลุก เป็นพืชสมุนไพรที่นำมาใช้ในการประกอบอาหารไทยมาช้านาน ส่วนที่นำมาประกอบอาหาร คือ เหง้า

สรรพคุณ
  • ลดการบีบตัวของลำไส้
  • ขับน้ำดี
  • ขับลม
  • ลดการอักเสบ
  • ยับยั้งแผลในกระเพาะอาหาร
  • ฆ่าเชื้อแบคทีเรีย
  • ฆ่าเชื้อรา
  • ทารักษากลาก เกลื้อน

 สรรพคุณทางยา 
  • บรรเทาอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ แน่นจุกเสียด โดยการใช้เหง้าสด ต้มเอาน้ำดื่ม
  • ทารักษากลาก เกลื้อน โดยใช้เหง้าสดผสมเหล้าโรงทา

 วิธีการใช้ข่ารักษากลาก เกลื้อน 
  1. ใช้เหง้าสดกับเหล้าโรง หรือน้ำส้มสายชู หรือเหง้าสดตำแช่แอลกอฮอล์ทา
  2. เอาข่าปอกเปลือกนิดหน่อย จุ่มเหล้าแล้วเอามาทาบริเวณที่เป็นเกลื้อน ทาแรงๆ ทำเช่นนี้ 4-5 วัน ก็จะหาย
  3. เอาหัวข่าแก่ๆ ล้างให้สะอาดฝานเป็นแว่นบางๆ หรือทุบพอแตก นำไปแช่เหล้าขาวทิ้งไว้สัก 1 คืน ทำความสะอาดขัดถูบริเวณที่เป็นเกลื้อนจนพอแดง และแสบ แล้วเอาข่าที่แช่ไว้มาทาเฉพาะที่ๆ เป็นเกลื้อน จะรู้สึกแสบๆ เย็นๆ ทาเช้าและเย็นหลังอาบน้ำทุกวัน ประมาณ 2 สัปดาห์ เกลื้อนจะจางลงและหายไปในที่สุด
  4. เอาหัวข่าล้างให้สะอาด ฝานเป็นแผ่นบางๆ นำไปแช่เหล้า 35 ดีกรี ประมาณ 5 นาที แล้วทาที่มีผื่นคัน อาการจะหายไป และถ้าแช่ค้างคืนจะใช้รักษาเกลื้อนได้ดี
  5. ใช้ข่าสดตัดท่อนละ 1 นิ้ว ทุบให้แตกพอช้ำอย่าถึงกับละเอียด ใส่ถ้วยแช่เหล้าโรงประมาณ 1/4 ถ้วยชา ใช้สำลีชุบทาวันละครั้ง
  6. ใช้หัวข่าแก่ๆ นำมาตำพอแหลก แล้วผสมเหล้าหรืออัลกอฮอล์ แช่ไว้ 1 คืน ใช้ทาแก้กลาก เกลื้อน

วิธีการใช้ข่ารักษาอาการแน่นจุกเสียด 
  1. ใช้เหง้าสด 5 กรัม หรือเหง้าแห้ง 2 กรัม ต้มกับน้ำจนเดือด รินน้ำดื่ม
  2. กวนหัวข่าแก่ตำละเอียดกับน้ำปูนใส 2 แก้ว นำมาดื่ม

ชื่อสามัญ : ข่า

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Alpinia galanga (Linn.)

ชื่อวงศ์ : Zingiberaceae

ชื่ออื่นๆ : กฎุกกโรหินี (ภาคกลาง) ข่าหยวก (ภาคเหนือ) ข่าหลวง (ภาคอีสาน) สะเอเชย  หรือ เสะเออเคย (กะเหรี่ยง แม่ฮ่องสอน)

ชื่อภาษาอังกฤษ : Glalangal, Greater Galangal,Chinese Ginger

ที่มา : http://www.medplant.mahidol.ac.th/pubhealth/alpinia.html

วันพุธที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2553

เบต้าแคโรทีน คืออะไร?



"เบต้าแคโรทีน" (Beta-carotene) เป็นสารตั้งต้นของวิตามินเอ (โปรวิตามินเอ) มีบทบาทสำคัญในการรักษาสุขภาพและเพิ่มระบบภูมิคุ้มกันร่างกายให้แข็งแรง ทั้งนี้ โดยปกติร่างกายของมนุษย์เราสามารถเปลี่ยนเบต้าแคโรทีนไปเป็นวิตามินเอได้ตามปริมาณที่ร่างกายต้องการ นอกจากนี้ยังทำหน้าที่เสมือนเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ(Anti-Oxidant) ด้วย

เมื่อร่างกายได้รับเบต้าแคโรทีนเข้าไปก็จะเปลี่ยนเป็นวิตามินเอ ที่เยื่อบุผนังลำไส้ โดยเบต้าแคโรทีน 6 ไมโครกรัม จะได้วิตามินเอ 1 ไมโครกรัม

เบต้าแคโรทีนมีในพืชสีเหลืองและสีส้ม ทั้งแครอท ฟักทอง หน่อไม้ฝรั่ง ข้าวโพดอ่อน แตงโม แคนตาลูป มะละกอสุก และผักที่มีสีเขียวอย่างบร็อกโคลี่ มะระ ผักบุ้ง ผักคะน้า ผักตำลึง  ต้นหอม โหระพา สะระแหน่ ผักชีฝรั่ง ผักชี เป็นต้น (เหตุที่มีสีเขียวเพราะสีของเบต้าแคโรทีนถูกสีเขียวของคลอโรฟิลล์บดบังไว้)

ประโยชน์ที่เบต้าแคโรทีนให้แก่ร่างกาย 
  1. ดูแลรักษาผิวพรรณให้ผ่องใส ไม่เหี่ยวย่น 
  2. ลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็ง อนุมูลอิสระมีผลเกี่ยวข้องกับมะเร็งโดยตรง การลดปริมาณอนุมูลอิสระ คือ เพิ่มสารต้านอนุมูลอิสระให้แก่ร่างกายเท่ากับลดความเสี่ยงของการเกิดโรคมะเร็ง
  3. บำรุงสุขภาพสายตา เบต้าแคโรทีนเมื่อถูกเปลี่ยนเป็นวิตามินเอแล้ว ร่างกายจะนำไปใช้สร้างสารโรดอฟซินในดวงตาส่วนเรตินา ทำให้ตามีความสามารถในการมองเห็นในตอนกลางคืนได้ และยังลดความเสื่อมของเซลล์ของลูกตา ลดความเสี่ยงต่อการเป็นต้อกระจกด้วย 
  4. ชะลอความแก่ เบต้าแคโรทีนให้ผลในการลดความเสื่อมของเซลล์จากอนุมุลอิสระ ซึ่งเป็นปัจจัยหลักที่ทำให้เกิดกระบวนการแก่

การได้รับสารเบต้าแคโรทีนมากเกินไป มีผลเสียต่อร่างกายหรือไม่ ?

เนื่องจาก สารเบต้าแคโรทีน คือ สารต้านอนุมูลอิสระ (Anti-Oxidant) ที่เมื่อร่างกายได้รับมากกว่าความต้องการ จะหันไปทำหน้าที่ในทางตรงกับข้าม โดยกลายตัวเป็น “Pro-Oxidant” ซึ่งเป็นสารที่ส่งเสริม “การเกิด” อนุมูลอิสระ ซึ่งเป็นต้นเหตุของการเกิดมะเร็ง

หากเรารับสารต้านอนุมูลอิสระจากการกินอาหารโดยปกติ โอกาสที่จะได้รับสารนี้มากเกินความต้องการของร่ายกาย จะน้อยกว่าการกิน “อาหารเสริมเบต้าแคโรทีน” โดยตรง เพราะอาหารเสริมจะมีสารนี้สูงมาก เนื่องจากอยู่ในรูปของสารเข้มข้น ดังนั้น ถ้าเราไม่ต้องการได้รับสารต้านอนุมูลอิสระมากเกินไป การกินอาหารปกติที่มีสารต้านอนุมูลอิสระเป็นวิธีที่ดีที่สุด

ข้อควรระวัง

การบริโภคเบต้าแคโรทีนในรูปแบบของอาหารเสริมที่มากเกินไป อาจเป็นการเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดโรคมะเร็ง